Motonosumi-Inari

ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศน่าสนใจ เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งช็อปปิ้งมากมาย หากแต่สำหรับสถานที่ที่เราจะมาแนะนำให้คุณได้รับชมกันในวันนี้ เป็นสถานที่แห่งความศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งมีความสวยงามไปพร้อมกัน

ศาลเจ้า Motonosumi Inari เสา Torii

ศาลเจ้า Motonosumi Inari มีเอกลักษณ์ในเรื่องเสา Torii  อีกทั้งยังรู้จักกันดีว่า มีกล่องรับเงินบริจาคไม่เหมือนใครให้คุณได้โยนเหรียญเสี่ยงทายทำบุญอีกด้วย ! ศาลเจ้า Motonosumi Inari ตั้งอยู่ ณ เมือง Nagato จังหวัด Yamaguchi ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งหันหน้าเข้าหาทะเลญี่ปุ่น ทำให้มีวิวทิวทัศน์อันสวยงาม อีกทั้งยังมีเสา Torii แดงจำนวนมาก เรียงรายทอดตัวลงไปในทะเลใสสีน้ำเงิน รวมทั้งพืชพันธุ์มีสีเขียวขจี

ศาลเจ้าอันเป็นที่ประทับของดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โบราณ

ศาลเจ้า Motonosumi Inari แยกตัวออกมาจากศาลเจ้า Taikodani Inari ในจังหวัด Shimane ย้อนไปเมื่อประมาณ 60 ปีก่อน มีเรื่องราวอันน่าสนใจเล่าลือกันมาว่า เทพเจ้าได้ลงมาจากสวรรค์ พร้อมแปลงกายเป็นสุนัขจิ้งจอกสีขาว เข้าไปปรากฏกายในฝันของชาวประมงคนหนึ่ง เพื่อบอกกล่าวให้ตั้งศาลเจ้า ณ พื้นที่นี้

โดยความน่าสนใจและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สร้างความประทับใจได้มากที่สุดของศาลเจ้าแห่งนี้ ก็คือ เสา Torii จำนวน 123 ต้น ซึ่งตั้งเรียงรายทอดตัวยาว เป็นระยะทางยาวกว่า 100 เมตร เป็นภาพสวยงามและหาชมได้อย่างยากยิ่ง นักท่องเที่ยวนานาชาติ ผู้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ นิยมมาเดินใต้เสา Torii ซึ่งทอดยาวแลดู คล้ายอุโมงค์พร้อมอธิษฐานไปด้วย เช่น ขอให้ธุรกิจดำเนินไปด้วยความสำเร็จ , ขอให้เดินทางปลอดภัย , ขอให้ถูกหวยรางวัลที่ 1 เป็นต้น มีความเชื่อว่าเทพเจ้าจะช่วยให้คำขอต่างๆ กลายเป็นจริงได้ แน่นอนว่ารวมไปถึงการขอให้พบเนื้อคู่รักจริง และการตั้งครรภ์

กล่องรับบริจาคไม่เหมือนใคร

นอกจากนี้สิ่งน่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ จุดตั้งกล่องรับเงินบริจาค ซึ่งตามปกติประเทศญี่ปุ่นจะวางไว้บนพื้น หากแต่ศาลเจ้านี้ จะนำไปติดไว้ตรงส่วนบนของยอดเสา Torii ซึ่งตั้งอยู่หน้าทางเข้าศาลเจ้า มีความเชื่อว่าถ้าคุณสามารถโยนเหรียญลงกล่องทำบุญได้คำขอของคุณก็จะเป็นจริง ! โดยถ้าคุณเดินผ่านเสา Torii ไปทางมหาสมุทรก็จะได้รับชมกับวิวอันแสนสวยงาม เรียกว่า ‘Ryugu no Shiofuki’ อันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อากาศถูกบีบอัดก่อนจะดันน้ำทะเลให้พุ่งสูงขึ้นไปบนอากาศ โดยสามารถพุ่งขึ้นได้สูงสุดถึง 30 เมตร ส่วนความเป็นมาของชื่อทัศนียภาพแห่งนี้ ก็มาจากภาพของน้ำทะเลซึ่งพุ่งสูงขึ้นไปยันด้านบน และดูแลคล้ายกับมังกรกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่นั่นเอง